ประวัตินายไพบูลย์ บุตรขัน
- เกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๑
- ที่หมู่บ้านท้องคุ้ง ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
- เป็นบุตรของนายบุตร และนางพร้อม ประณีต
- มีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน เป็นบุตคนโต
- เริ่มต้นศึกษาจากโรงเรียนปทุมวิลัย (เดิม) อยู่ที่วัดสำแล ต.บ้านกระแชง อ.เมือง จ.ปทุมธานี และจบประถมศึกษาจากโรงเรียนสตรีปทุมวัน พญาไท กรุงเทพฯ จบมัธยมบริบูรณ์ (ม.๘) โรงเรียนสวัสดิ์อำนวยเวทย์ กรุงเทพฯ
- เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่โรงเรียนกว๋องสิว กรุงเทพฯ จากนั้นไปทำงานที่โรงไฟฟ้าสามเสน และออกไปร่วมกับคณะละครเดินทางไปตามจังหวัดต่าง ๆ ในฐานะผู้ประพันธ์เพลง และบทละครร่วมกับคณะ “แม่แก้วและคณะจันทโรภาศ” ต่อมาได้ประพันธ์บทละครวิทยุและบทภาพยนตร์อิสระ
- ผลงานด้านเพลง มนต์เมืองเหนือ ค่าน้ำนม สามหัวใจ แม่ศรีเรือน กลิ่นโคลนสาบควาย ชายสามโบสถ์ ตาสีกำสรวล ผู้แทนเมืองไทย โลกนี้คือละคร ลิเกชีวิต มัศยาหลงเหยื่อ ยมบาลเจ้าขา ฝนเดือนหก บุพเพสันนิวาส แว่วเสียงซึง มนต์รักลูกทุ่ง เบ้าหลอมใจ ฯลฯ
- ได้รับรางวัลที่ ๑ การประกวดบทประพันธ์นาฏดนตรี ของกรมโฆษณาการ เรื่อง “ตัวตายดีกว่าชาติตาย” ใช้นามปากกาว่า “ตรีบูลย์” เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ และถัดมาก็ได้รับรางวัลที่ ๒ ในการประกวดบทประพันธ์นาฏดนตรี ครั้งที่ ๒ เรื่อง “น้ำพระทัยพ่อขุนรามคำแหง”
- เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔ ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จากรางวัลเนื้อร้องชนะเลิศ เพลงไทยสากลประเภท ข. ในเพลง โลกนี้คือละคร เนื้อร้องชนะเลิศลูกทุ่งประเภท ก. ในเพลง เบ้าหลอมดวงใจ ทำนองชนะเลิศในเพลง ฝนเดือนหก เนื้อร้องและทำนองชนะเลิศในเพลง มนต์รักลูกทุ่ง และเพลง ยมบาลเจ้าขา
- เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๒ ได้รับรางวัลพระราชทานแต่งเพลงดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในการจัดงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ ๑ ถึง ๑๐ รางวัล คือ เพลงชายสามโบสถ์ น้ำตาเทียน บ้านไร่น่ารัก เพชรร่วงในสลัม ฝนซาฟ้าใส ฝนเดือนหก บุพเพสันนิวาส มนต์รักแม่กลอง มนต์รักลูกทุ่ง ยมบาลเจ้าขา
- เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับรางวัลพระราชทานแต่งเพลงดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในการจัดงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค ๒ ในเพลง หนุ่มเรือนแพ
- เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ เพลงมนต์รักลูกทุ่ง ได้รับรางวัลเพลงไทยลูกทุ่งยอดเยี่ยม ด้านทำนองและยอดเยี่ยมด้านคำร้อง ในงานพระพิฆเนศทองคำพระราชทาน ครั้งที่ ๑