ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
Latitude : N 16° 2' 36.433"
16.0434536
Longitude : E 100° 0' 55.7136"
100.0154760
No. : 197479
การทอผ้าบ้านโปร่งเขนง ตำบลด่านช้าง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์
Proposed by. นครสวรรค์ Date 29 September 2022
Approved by. นครสวรรค์ Date 29 September 2022
Province : Nakhon Sawan
0 765
Description

ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน และการทอผ้า บ้านโปร่งเขนง

บ้านโป่งเขนง ตำบลด่านช้าง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2455 โดยคุณปู่ทวดพวง โพธิ์ยอด และคุณย่าทวดพี โพธิ์ยอด เป็นผู้เล่าเรื่องต้นกำเนิด “บ้านโปร่งเขนง” เดิม ครอบครัว คุณปู่ทวดพวง - คุณย่าทวดพี เป็นคนอำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ชาวลาวครั่ง ได้มาสร้างครอบครัวที่บ้านมาบมะขาม ซึ่งในสมัยคุณพ่อของคุณปู่ทวดพวง มีลูก หลายคน คุณปู่ทวดพวงและคุณย่าทวดพี มีลูก 7 คน จึงได้แยกครอบครัวออกมา ทำการจับจองที่ดินไว้ทำมาหากินและอยู่อาศัย ณ ที่แห่งนี้

ที่มาของชื่อ “บ้านโปร่งเขนง” นั้น เมื่อช่วงที่คุณปู่ทวดพวง – คุณย่าทวดพี โพธิ์ยอดพร้อมครอบครัวได้ออกจากบ้านมาบมะขามมาจับจองที่ดิน ณ ที่แห่งนี้ เดิมเป็นป่ารกทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย และมีหนองน้ำโบราณเรียกว่า “สระแม่หม้าย” พวกสัตว์ป่าทั้งหลาย จะชอบมาหาอาหารที่บริเวณนี้ เนื่องจากบริเวณนี้เป็น “ดินโป่ง*” มีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ วันหนึ่งพวกเหล่านายพราน ได้มาล่าสัตว์ป่าบริเวณแหล่งน้ำนี้ หลังจากที่ล่าสัตว์แล้วกลับไป ช่วงระหว่างทางกลับนั้นได้ทำ “เขนงปืน” หล่นไว้ ดังนั้นคุณปู่ทวดพวงจึงเรียกกลุ่มบ้านนี้ว่า “บ้านโปร่งเขนง”

คุณปู่ทวดพวง – คุณย่าทวดพี นั้น หลังจากได้มาจับจองที่ดินเพื่อสร้างครอบครัวที่บ้านโปร่งเขนงแล้ว คุณปู่ทวดพวง ยังจับจองที่ดินไว้ประกอบอาชีพทำนาข้าว ปลูกไร่ข้าวโพดด้วย ส่วนคุณย่าทวดพี จะเป็นแม่บ้านแม่เรือน หุงหาทำกับข้าว เลี้ยงลูก และยังทอผ้าไว้ให้คนในครอบครัวสวมใส่ ในสมัยนั้นแต่ละบ้านจะต้องทอผ้าใส่กันเอง โดยฝ่ายสามีจะเป็นผู้ทำกี่ทอผ้าให้ฝ่ายภรรยาเป็นผู้ทอ ส่วนคุณแม่น้อย เดิมเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ ได้อพยพมาทำงานที่มาบมะขาม คุณพ่อยัน เป็นบุตรคนที่ 2 ของคุณปู่ทวดพวง เห็นว่าคุณแม่น้อย เป็นคนขยันจึงตกลงปรงใจเป็นสามีภรรยากัน คุณแม่น้อยเองตอนที่อยู่จังหวัดศรีสะเกษ ก็มีประสบการณ์ในการทอผ้าแบบกี่อยู่แล้ว คุณย่าทวดพี จึงได้สอนวิธีการทอผ้า “ลายขิดไม้รอด” ให้กับคุณแม่น้อย โดยคุณพ่อยัน เป็นผู้ทำกี่ทอผ้าให้คุณแม่น้อยไว้ใช้สำหรับทอผ้าให้คนในครอบครัวได้ใส่กัน คุณย่าทวดพีและคุณแม่น้อย ได้นำความรู้การทอผ้า สอนญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อให้แต่ละครอบครัวได้ทอผ้าใส่กัน จึงเป็นที่มาในการสืบทอดภูมิปัญญา “ผ้าทอของบ้านโปร่งเขนง” รวม 3 ช่วงอายุคน จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่น้อยกว่า 110 ปี

ผู้ริเริ่มการทอผ้าโปร่งเขนง

รุ่นที่ 1 คือ คุณย่าทวดพี โพธิ์ยอด ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยคุณปู่ทวดพวง โพธิ์ยอด เป็นผู้ทำกี่ทอผ้าให้ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ส่วนกี่ทอผ้าก็ชำรุดเสียหาย

ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 คือ คุณแม่น้อย โพธิ์ยอด ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยคุณพ่อยัน โพธิ์ยอด เป็นผู้ทำกี่ทอผ้าให้ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ส่วนกี่ทอผ้าปัจจุบันยังใช้งานอยู่

ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 คือ นางบุญทิน โพธิ์ยอด ได้สืบทอดมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าบ้านโปร่งเขนงมาตั้งแต่วัยเยาว์จนมาถึงปัจจุบัน มีอายุ 58 ปี โดยใช้กี่ทอผ้าที่คุณพ่อยัน โพธิ์ยอด เป็นผู้ทำให้คุณแม่น้อย กี่ทอผ้าหลังนี้มีอายุราว 70-80 ปี ปัจจุบันนางบุญทินยังใช้งานอยู่

เส้นใย ที่ใช้ในการทอผ้าของกลุ่มสตรีทอผ้าบ้านโป่งเขนง จะใช้ไหมประดิษฐ์ ทดแทน ฝ้าย หรือ เส้นไหม

เนื่องด้วยเมื่อสมัยก่อนรุ่นคุณย่าทวดพี ใช้ฝ้ายหรือไหมในการทอผ้า โดยผลิตมาจากดอกฝ้าย และเลี้ยงตัวหม่อนที่ผลิตเส้นใยไหม แต่ยุคปัจจุบันนี้มี “ไหมประดิษฐ์” ที่ใช้ทดแทน ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำให้สะดวกรวดเร็ว โดยการใช้สารเคมีย่อยสลายเปลือกไม้แล้วฉีดเป็นเส้นใยสังเคราะห์ นิยมนำมาใช้แทนเส้นใยฝ้ายเรียกว่า “ใยสังเคราะห์” หรือ “ไหมประดิษฐ์” ซึ่งไว้ทอผ้าเพื่อใช้สวมใส่ พร้อมทั้งใส่ลวดลายตามความต้องการของผู้สวมใส่

การทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านโปร่งเขนงคือการทอผ้าแบบขิด แบบปกติ แบบจก และแบบมัดหมี่

การทอแบบขิดคือ การใช้ไม้เพล่ายกด้ายยืนแยกชั้นของลายขิด พร้อมเหยียบตะกอชุดที่ 1 แล้วนำกระสวยด้ายพุ่งลอดช่องด้ายยืนจากซ้ายไปขวา แล้วนำไม้เพล่าลง พร้อมทั้งเหยียบตะกอชุดที่ 2 สลับ แล้วนำกระสวยด้ายอีกเส้นพุ่งลอดช่องจากซ้ายไปขวาเช่นกัน จากนั้นเหยียบตะกอชุดที่ 1 สลับพร้อมยกไม้เพล่าขึ้นแล้วพุ่งกระสวยด้ายจากขวาไปซ้าย นำไม้เพล่าลงพร้อมเหยียบตะกอชุดที่ 2 สลับเพื่อพุ่งกระสวยอีกเส้น จากขวาไปซ้ายเช่นกัน ทำแบบนี้ตลอดตามลวดลายที่ต้องการ

การทอแบบปกติคือการทอผ้าเป็นสีพื้น โดยใช้สีเดียวกันทั้งด้ายยืน และด้ายที่อยู่ในกระสวย ไม่มีการสลับสีแต่อย่างใด

การทอแบบจกการจกผ้าเป็นการสร้างลายโดยเพิ่มเส้นด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า การจกนิยมใช้วัตถุที่แหลม เช่น ไม้ ขนเม่นหรือนิ้วมือยกเส้นด้ายยืนขึ้นแล้วสอดใส่เส้นด้ายพิเศษสีต่างๆ กันเข้าไปตามจังหวะของลวดลาย การทอแบบจกนั้นสามารถจกลายจากด้านหน้าหรือด้านหลังของผ้าก็ได้ ลวดลายที่มองเห็นด้านหน้าจะเรียบส่วนด้านหลังเป็นปมที่เกิดจากการผูกเส้นด้ายสีต่างๆ ผ้าจกสามารถนำไปตัดเย็บประกอบเข้ากับผ้าชิ้นอื่นๆ ได้ โดยที่การทอและจกอาจจะทำเพียงบางส่วน ผ้าที่จกแล้วนำไปประกอบเป็นเชิงผ้าซิ่นเรียกว่า "ผ้าซิ่นตีนจก" ส่วนซิ่นที่ต่อด้วยเทคนิคจกบริเวณตีนซิ่นเป็นผ้านุ่งที่ใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีแต่งงาน เเละพิธีขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น เนื่องจากเป็นผ้าที่มีความละเอียดและการทอยุ่งยาก เจ้าของผ้าจึงมักถนอมเป็นพิเศษบางครั้งจึงมีการนุ่งผ้าซ้อนด้านในอีกหนึ่งชั้นเพื่อถนอมผ้าจก

การทอแบบมัดหมี่เดิมเป็นสีขาวจะนำ ไหม ที่เป็นสีขาวจำนวน 1 ไจ มามัดด้วยเชือกตามลวดลายที่ต้องการให้แน่น จากนั้นจึงนำไปย้อมสีตามความต้องการ พอย้อมเสร็จ ไหมจะได้สีตามที่ย้อม ส่วนช่วงที่เชือกมัดไว้จะเป็นสีขาวหลังจากนั้นก็จะนำมาใส่ในกระสวยด้าย เพื่อไว้ใช้ขึ้นลายของการทอเป็นผืนผ้า จะมัดเรียงตามลำดับกระสวยที่กอด้ายไว้ เวลาใช้ต้องใช้เรียงตามลำดับของกระสวยที่เรียงไว้ ถ้าสลับลวดลายจะไม่เป็นลวดลายที่ทำไว้

ปัจจุบันนี้ การย้อมสีโดยธรรมชาติใช้ระยะเวลาการย้อมหลายวัน ทางบ้านโปร่งเขนง จึงได้ใช้ไหมประดิษฐ์ที่มีสีสำเร็จแล้วทดแทน ปัจจุบันเลยไม่ได้มีการย้อมสีแบบธรรมชาติเหมือนเมื่อในอดีต

ความหมายของสีผ้าที่นำมาใช้ทอเป็นเอกลักษณ์ของบ้านโปร่งเขนง

1 สีพื้นแดง คือ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงชนเผ่า “ลาวครั่ง” ของบ้านโปร่งเขนง

2 สีเหลือง คือ ความอุดมสมบูรณ์ของบ้านโปร่งเขนง

3 สีขาว คือ ความบริสุทธิ์ สงบสุข ความเรียบง่ายของบ้านโปร่งเขนง

ชื่อลายผ้าของบ้านโปร่งเขนงคือ “ลายขิดไม้รอด”

แรงบันดาลใจคุณย่าทวดพี โพธิ์ยอด ได้คิดค้นลายประดิษฐ์ “ลายขิดไม้รอด” เป็นลายที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ รุ่นคุณย่าทวดพี ที่เป็นผู้คิดค้น ประดิษฐ์ลายนี้ สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นเอกลักษณ์ประจำของ “ผ้าทอบ้านโปร่งเขนง"

สัญลักษณ์ความเป็นเอกลักษณ์ผ้าประดิษฐ์ “ลายขิดไม้รอด” บ้านโปร่งเขนง เป็นลายที่มีความเป็นสิริมงคล ครั้งเมื่อในอดีตนิยมใช้ในทางพระพุทธศาสนา เช่น อาสนะ เป็นต้น ใช้ทำหมอนขุนนาง(หมอนขิด) หรือใช้ทอเสื้อผ้าท่อนบน ในปัจจุบันได้นำมาประยุกต์ใช้ ในการทอผ้าเพื่อใช้สวมใส่ ในงานพิธีทั่วไป

จุดเริ่มต้นของการทอผ้าบ้านโปร่งเขนง ตำบลด่านช้าง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ มาเมื่อปี พ.ศ. 2455 โดยผู้ริเริ่มการทอผ้า คุณย่าทวดพี โพธิ์ยอด ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์

1 เพื่อเป็นการสืบทอดอนุรักษ์ภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันให้เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน

2 เพื่อเป็นการส่งเสริม การสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

3 เพื่อเป็นอาชีพอีกทางหนึ่ง จากการทำอาชีพหลัก

4 เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อุปกรณ์การทอผ้า

อุปกรณ์การทอผ้า เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านซึ่งอุปกรณ์แต่ละชนิดสะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์ผลงาน ดังนี้

1. หลาเป็นเครื่องมือปั่นด้ายให้เป็นเกลียวแน่นหรือควบกันก็ได้ ส่วนโครงสร้างประกอบจากท่อนไม้คล้ายตัว T ส่วนฐานทำจากไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 80-100เซนติเมตร ด้านขวามือมีเสาหลัก 2ข้างทะลุฐานขึ้นไปจะยาวเท่ากัน กึ่งกลางจะเจาะทะลุใส่คานแกนของวงล้อปั่นฝ้าย วงล้อนี้จะทำด้วยซี่ไม้ไผ่มัดประกอบกันด้วยเส้นเชือก มีลักษณะคล้ายวงล้อจักรยาน ที่คานแกนกลางวงล้อนี้จะต่อยาวออกมาเป็นที่จับสำหรับหมุนปั่นด้าย เรียกว่า แขนหลา ด้านซ้ายมือจะมีเหล็กปลายแหลมยาวประมาณ 6นิ้ว เรียกว่า ไน ระหว่างเหล็กไนกับวงล้อจะมีเชือกคล้องเรียกว่า สายหลา เมื่อหมุนวงล้อเหล็กไนก็จะหมุนด้วย

2. กงเป็นเครื่องมือใช้ในการกรอด้ายเพื่อจัดด้ายให้เป็นไจ หรือกรอด้ายใส่หลอด มีรูปทรงกระบอก โดยใช้ไม้ไผ่เหลาปลายให้บาง ทำเป็นโครงด้านหัวและด้านท้าย ไขว้กันเป็น 2คู่ แล้วมีเชือกขึงไขว้กันไป-มา ระหว่างไม้ 2คู่นี้ ตรงกลางจะมีแกนไม้ไผ่ยื่นยาวออกไปสำหรับสอดกับหลักตีนกง ใช้ใส่ไจด้าย เพื่อจะกวักเตรียมเข้าสู่การทอผ้า

3. กี่หรือหูกมีลักษณะเป็นโครงสร้างรูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วยเสาหลัก 4หลัก ขนาดสูงเท่ากันทั้ง 4ต้น

4. ฟืมประกอบด้วยโครงซึ่งเป็นตัวฟืมไม้เนื้อแข็ง ความกว้างของฟืมประมาณ 5-6เซนติเมตร ส่วนความยาวของฟืมคือความกว้างของผ้า และฟันหวี (Reed beam) เป็นฟันซี่เล็กๆ เรียงกันเป็นตับอยู่กลางและระยะห่างของฟันเป็นที่ใช้สำหรับสอดเส้นด้ายผ่าน นอกจากนั้น ฟันหวียังเป็นอุปกรณ์การทอที่มีความสำคัญ อยู่ส่วนหน้าตะกอหรือเขาที่ใช้กระทบเส้นด้ายพุ่งให้สานทอกับเส้นด้ายยืนเป็นผืนผ้า หน้าฟืมจะมีทั้งขนาดยาวและขนาดสั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการทอผ้าว่าต้องการจะทอผ้าหน้ากว้างหรือผ้าหน้าแคบ สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยจำแนกชนิดของฟืมในภาคอีสานออกเป็น 2ประเภท คือ “ฟืมขา” เป็นฟืมที่มีขนาดช่องฟันฟืมค่อนข้างห่าง เหมาะสำหรับการทอผ้าฝ้ายที่มีขนาดเส้นใยค่อนข้างหนา “ฟืมขัน” เป็นฟันฟืมที่มีขนาดช่องฟันฟืมค่อนข้างถี่ เหมาะสำหรับการทอผ้าไหมที่มีขนาดเส้นใยเล็กบาง ดั้งเดิมในภาคอีสานจะใช้ซี่ไม้ไผ่ในการผูกร้อยทำฟันฟืม ต่อมาในปัจจุบันนิยมใช้ซี่โลหะทำฟันฟืม เพราะมีความแข็งแรง ทนทานสูง

5. กระสวยเป็นอุปกรณ์ใส่เส้นด้ายพุ่ง มีหลายลักษณะ ได้แก่กระสวยแบบเรือ 3หลอด หรือแกนเดี่ยว ทำจากไม้เนื้อแข็ง ยาวประมาณ 12-14นิ้ว โดยถากเนื้อไม้ให้เป็นรูปคล้ายลำเรือ ตรงกลางของกระสวยเซาะบากเป็นร่องลึก 1ช่อง และเจาะด้านข้าง 1รู เพื่อสอดเส้นด้ายออก เป็นกระสวยที่ใช้ใส่หลอดด้ายเส้นพุ่งได้เพียงหลอดเดียว เหมาะสำหรับใช้ทอผ้าเนื้อบาง ทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย ซึ่งกระสวยทอผ้าไหมจะมีขนาดเล็กเรียวกว่ากระสวยทอผ้าฝ้าย

กระสวยแบบเรือ 2หลอด หรือแกนคู่ ทำจากไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 14-16นิ้ว โดยถากไม้ให้เป็นรูปคล้ายลำเรือ ช่วงกลางแบ่งเซาะบากเป็นร่องลึก 2ช่อง ใช้สำหรับใส่หลอดด้ายเส้นพุ่ง 2หลอด และเจาะรูด้านข้าง 2รู เพื่อสอดเส้นด้ายออก นิยมใช้ทอผ้าเนื้อหนา โดยใส่เส้นใยสีเดียวกันทั้ง 2หลอด ในขณะเดียวกันก็สามารถประยุกต์ใส่หลอดด้าย 2สี เพื่อสร้างลายผ้าที่มีสองสีผสมกัน

กระสวยแบบเรือ 3หลอด ทำจากไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 18-20นิ้ว ถากไม้ให้เป็นรูปคล้ายลำเรือ ช่วงกลางแบ่งเซาะบากเป็นร่องลึก 3ช่อง ไว้สำหรับใส่หลอดด้ายเส้นพุ่ง 3หลอด และเจาะรูด้านข้าง 3รู เพื่อสอดเส้นด้ายออก นิยมใช้กระสวยชนิดนี้ทอผ้าที่หนาเป็นพิเศษ เช่น ผ้าห่ม หรือทอเส้นพุ่งพิเศษในการทอขิด เป็นต้น หรือจะประยุกต์ใส่หลอดด้าย 3สี เพื่อสร้างลายผ้าที่มีสามสีผสมกัน

6. เฝือส่วนใหญ่นิยมเรียก “หลักเฝือ” คนอีสานนิยมเรียกออกเสียงว่า “หลักเฝีย” เป็นกรอบไม้สี่เหลี่ยม ไม้ที่อยู่ทางซ้ายและทางขวาจะมีไม้เล็กๆ ปักเป็นหลักแต่ละหลักห่างกันประมาณ 20เซนติเมตร ปกติจะมี ด้านละ 20หลัก ใช้สำหรับทำด้ายเส้นพุ่ง

7.ไม้คานหูกเป็นคานไม้พาดเชื่อมต่อระหว่างเสาหลักทั้ง 4ต้น เครือเส้นด้ายยืนพาดบนไม้คาน ด้านหน้าแล้วโยงมาผูกไม้คานด้านหลัง ดึงเส้นยืนให้ตึง

8. ไม้รองนั่งเป็นแผ่นไม้ที่คาดไว้บนคานไม้ด้านล่างด้านคนทอ เพื่อให้คนทอนั่งและวางอุปกรณ์การทอ เช่น ตะกว้าใส่หลอดด้าย กระสวย เป็นต้น

9. ไม้ม้วนผ้าเป็นไม้ท่อนสี่เหลี่ยม ที่ปลายทั้งสองข้างเสียบเข้าเดือยที่หลักไม้ด้านใกล้ผู้ทอเพื่อม้วนเก็บผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยเอาไว้ ทางอีสานเรียกว่า “ไม้กำพั่น”

10.ไม้หาบหูกเป็นไม้ไผ่กระบอกขนาดกลางยาวพาดคานไม้ เพื่อใช้ผูกเชือกโยงฟืมและรอกที่พยุงตะกอหรือเขาเอาไว้ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นไม้ที่สอดร้อยกับเชือกที่ผูกเขาด้านบน เพื่อให้หูกยึดติดกับกี่ ไม้หาบหูกจะมีอันเดียว ไม่ว่าจะใช้ฟืมที่มี 2เขา, 3เขา หรือ 4เขา ไม้หาบหูกนี้ หากเสาหลักสูง บางท้องถิ่นก็จะผูกห้อยต่ำลงมาจากคานไม้อีกทีหนึ่ง

11. ไม้เหยียบหูกเป็นไม้ไผ่ลำขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1เมตร ผูกโยงกับตะกอหรือเขาสำหรับเหยียบ เพื่อบังคับการสลับขึ้นลงของเครือเส้นด้ายยืน โดยปกติจะมี 2อัน สำหรับการทอแบบสองตะกอ แต่ถ้าเป็นการทอผ้าแบบสามตะกอก็จะมี 3อัน และถ้าเป็นการทอผ้ายกดอกพื้นฐาน 4-8ตะกอ จำนวนไม้เหยียบหูกก็จะมีจำนวนเท่ากันกับจำนวนตะกอที่ใช้ในการทอผ้า

12. ตะกอหรือเขาเป็นแผงเส้นด้ายที่ถักเกี่ยวเครือเส้นด้ายยืนเอาไว้ โดยใช้ไม้ไผ่ 2ซี่เป็นคาน โดยปกติถ้าเป็นผ้าทอแบบสองตะกอก็จะมีตะกอหรือเขา 2อัน ซึ่งจะคัดเก็บเครือเส้นด้ายยืนสลับกันเส้นต่อเส้น เพื่อยกเปิดเส้นด้ายยืนให้แยกขึ้น-ลง ทำให้ช่างทอผ้าสามารถสอดกระสวยเส้นด้ายพุ่งผ่าน ไปสานทอขัด เพื่อให้เกิดเป็นผืนผ้า ซึ่งหากมีการเพิ่มจำนวนแผงตะกอ 4-8ตะกอ ก็จะสามารถสร้างลวดลายบนผืนผ้าได้

13. ผังหรือธนูทำจากซี่ไม้ไผ่ดัดโค้ง ที่ปลายทั้งสองด้านหุ้มเหล็กปลายแหลมเพื่อเสียบยึดกับริมผืนผ้า ช่วยขยายหน้าผ้าไว้ให้เท่ากันตลอด เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยกำกับขนาดหน้าผ้าให้สม่ำเสมอ โดยผู้ทอจะขยับเลื่อนผังหรือธนูตามขอบหรือริมผ้าที่ทอเสร็จไปเรื่อยๆ

14. รอกเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยพยุงฟืมและตะกอให้อยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป เดิมทำจากไม้เนื้อแข็ง แกะเป็นวงล้อรอกภายใน โครงภายนอกแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม บางท้องถิ่นก็ทำจากวัสดุง่ายๆ เช่น ใช้ปล้องไม้ไผ่ขนาดสั้น ปัจจุบันบางท้องถิ่นใช้รอกเหล็กหรือรอกทองเหลือง แทนรอกไม้แกะสลักหรือรอกไม้ไผ่

ขั้นตอนการทอผ้า(ลายมัดหมี่)

1 การเตรียมเส้นพุ่ง เรานำด้ายมัดหมี่ คล้องใส่กงนำปลายด้ายมาพันกับหลอดด้ายแล้วนำหลอดด้ายใส่ไปในแกนหลาเพื่อใช้กรอด้ายเข้าไปที่หลอดด้ายสำหรับทำเป็นเส้นพุ่ง

2 การเตรียมเส้นยืน ซึ่งเป็นเส้นด้าย ตามแนวตั้งของผืนผ้า โดยนำเส้นด้ายพันใส่ลงในหลักเฝือเรียกว่า “ค้นหูก” จนได้ 40 หลบๆ ละ 40 เส้น

3 เมื่อค้นหูก ได้จำนวนที่ต้องการแล้ว นำมาผูกกับเส้นด้ายแบบเส้นต่อเส้น ที่อยู่บนตะกอและฟืมเรียกว่า “ต่อหูก” หรือ “สืบหูก

4 หลังจากสืบหูกเสร็จแล้ว จากนั้น นำรอยต่อเข้ามาในตะกอ และฟืม ดึงเส้นด้ายยืนทั้งหมดเข้าแกนม้วนผ้า เพื่อปรับความตึงหย่อนให้เหมาะสม

5 เริ่มการทอโดยการเหยียบตะกอสลับ เส้นด้ายจะถูกแยกออกแล้วเกิดช่องว่าง จึงนำกระสวยด้ายพุ่งผ่านสลับ ตะกอชุดที่ 1 พร้อมกระทบฟืมสัก 2-3 ครั้ง เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกันและมีความแน่นหนา จากนั้นเหยียบตะกอชุดที่ 2 เพื่อสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับมา พร้อมกระทบฟืมตามที่กล่าวข้างต้น ทอแบบนี้สลับกันจนเป็นผืนผ้า

เทคนิคการทอ “ลายขิดไม้รอด”

คือ การใช้ไม้เพล่ายกด้ายยืนแยกชั้นของลายขิด พร้อมเหยียบตะกอชุดที่ 1 แล้วนำกระสวยด้ายพุ่งลอดช่องด้ายยืนจากซ้ายไปขวา แล้วนำไม้เพล่าลง พร้อมทั้งเหยียบตะกอชุดที่ 2 สลับ แล้วนำกระสวยด้ายอีกเส้นพุ่งลอดช่องจากซ้ายไปขวาเช่นกัน จากนั้นเหยียบตะกอชุดที่ 1 สลับพร้อมยกไม้เพล่าขึ้นแล้วพุ่งกระสวยด้ายจากขวาไปซ้าย นำไม้เพล่าลงพร้อมเหยียบตะกอชุดที่ 2 สลับเพื่อพุ่งกระสวยอีกเส้น จากขวาไปซ้ายเช่นกัน ทำแบบนี้ตลอดตามลวดลายที่ต้องการ

การออกแบบลายขิดไม้รอด มีเอกลักษณ์ที่โด่ดเด่น ด้ายการเลือกสีด้ายเหลืองล้อมด้ายสีขาว หรือด้ายสีขาวล้อมสีเหลือง ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ สงบสุข ความเรียบง่ายของบ้านโปร่งเขนง ผสมผสานกับด้ายมัดหมี่สีแดง ตรงกลางระหว่างลายขิดไม้รอด แสดงถึงชนเผ่าลาวครั่ง

การอนุรักษ์สืบทอดและพัฒนาต่อยอด มาจนถึงปัจจุบัน

เดิมคุณปู่ทวดพวง - คุณย่าทวดพี โพธิ์ยอด อยู่บ้านเลขที่ 61 หมู่ 9 ตำบลด่านช้าง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เป็นผู้ริเริ่มในการทอผ้าแบบสีพื้นธรรมดาไม่มีลวดลาย ในการใช้สอยของคนในครอบครัว ต่อมาคุณย่าทวดพีได้คิดค้น “ลายขิดไม้รอด” ขึ้น เพื่อให้ผ้าทอมีความโดดเด่นมากขึ้น นางน้อย โพธิ์ยอด สะใภ้ของท่าน อยู่บ้านเลขที่เดียวกัน เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 จนถึงนางบุญทิน โพธิ์ยอด เป็นบุตรของนางน้อย โพธิ์ยอด อยู่บ้านเลขที่เดียวกัน เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 หรือรุ่นปัจจุบันนี้ โดยมีนางสาวรัชนี เชาว์ปรีชา รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์ สภาวัฒนธรรมอำเภอบรรพตพิสัย สภาวัฒนธรรมตำบลทุกตำบลอำเภอบรรพตพิสัย องค์กรพัฒนาชุมชนอำเภอบรรพตพิสัย องค์กรพัฒนาชุมชนจังหวัดนครสวรรค์ องค์กรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอบรรพตพิสัย และหน่วยงานอื่นๆ ได้เห็นผลงาน ของกลุ่มทอผ้าบ้านโปร่งเขนงจึงได้เข้ามาสนับสนุน พร้อมทั้งได้ก่อตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจชุมชนในชื่อ “กลุ่มสตรีผ้าทอไหมประดิษฐ์บ้านโปร่งเขนง” เมื่อปีพ.ศ. 2564 จนมีชื่อเสียงในระดับอำเภอบรรพตพิสัย และในจังหวัดนครสวรรค์

Category
Clothing
Location
Tambon ด่านช้าง Amphoe Banphot Phisai Province Nakhon Sawan
Details of access
Reference อวยพร พัชรมงคลสกุล Email paitoog@hotmail.com
Organization สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์
Comment
Please Login Before comment.

Username
Password
No comment.
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่