ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 15° 37' 59.7389"
15.6332608
ลองจิจูด (แวง) : E 99° 33' 4.6667"
99.5512963
เลขที่ : 197564
กลุ่มทอผ้าไหมบ้านชุมตาบง
เสนอโดย นครสวรรค์ วันที่ 4 ตุลาคม 2565
อนุมัติโดย นครสวรรค์ วันที่ 4 ตุลาคม 2565
จังหวัด : นครสวรรค์
0 1018
รายละเอียด

ความเป็นมาของกลุ่ม

ชุมชนบ้านชุมตาบง ส่วนใหญ่อพยพมาจากทางภาคอีสาน จึงมีวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าในครัวเรือน ต่อมาจึงมีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มทอผ้าไหมบ้านชุมตาบง ในปี 2547 ที่ตั้งกลุ่มบ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 8 ตำบลชุมตาบง อำเภอชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับ กลุ่มผ้าทอ สีย้อมธรรมชาติ ในจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุมัยธานี และจังหวัดชัยนาท ในการพัฒนาทักษะ ภูมิปัญญา การใช้เทคโนโลยี การใช้เครื่องมือ วัตถุดิบ การแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแก่ กลุ่มทอผ้า ทั้งที่เป็นวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ ขนาดเล็กเพื่อพัฒนาทักษะ ถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมทั้งสร้างบุคลากรในพื้นที่

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมบ้านชุมตาบง อำเภอชุมชาบง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้สืบทอดภูมิปัญญาด้วยการทอผ้า และการย้อมสีธรรมชาติ ตลอดจนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันเอง โดยได้รับ การสนับสนุนจาก กรมหม่อนไหม นอกจากผ้าทอแล้วทางกลุ่มยังแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ สบู่โปรตีนไหม โลชั่นทาผิว รังไหมขัดตัว รังไหมของที่ระลึก ซึ่งกระบวนการทั้งหมดในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรให้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า เคียงคู่ไปกับการพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ การใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น และมีการกระจายรายได้ให้กับชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย

กลุ่มทอผ้าไหมบ้านชุมตาบง ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงโด่งดัง จนเป็นที่รู้จัก มียอดการผลิตและ สั่งทำเป็นจำนวนมาก เพราะปัจจุบันวัตถุดิบที่ใช้ ทางกลุ่มสามารถเพาะเลี้ยงไหมเอง ทำเอง โดยมีกรมหม่อนไหมของพระราชินีฯ มาสอนและให้ความรู้ในการเลี้ยงไหมโดยตรง จนได้รับรางวัล OTOP เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ และรางวัลอื่นมากมาย เช่น ได้รับรองมาจรฐานชุมชน สินค้าโอท็อปและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รางวัลอันดับที่ 1 ประเภทภูมิปัญญาของจังหวัดนครสวรรค์ รางวัลอันดับที่ 1 ประเภทลวดลายโบราณจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้รับมาตรฐานชุมชน อำเภอชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับมาตรฐานบรรจุภัณฑ์จากอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ อย. และได้รับตราพระราชทาน ตรานกยูง พระราชทานผ้าไหม ที่มีหลากหลายให้เลือกสรร เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าตัดชุด ผ้าขิด ผ้าสะโหร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าฝ้ายมัดหมี่ ผ้าพันคอ ผ้าทอมือ ฯลฯ

เส้นใยที่ใช้ในการทอผ้า

ใยไหม

ใยไหมต้องยกให้ในเรื่องของความสวยงาม เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าผ้าไหมนั้นจะมีความเงาวาวต่างจากเส้นใยชนิดอื่น ๆ เห็นได้จากการนำไปตัดเป็นชุดออกงานรูปแบบต่าง ๆ ที่ต้องการความหรูหราเป็นทางการ และนอกจากจะนุ่มสวยแล้วก็ยังมีจุดเด่นอื่น ๆ อีกไม่ว่าจะเป็นการดูดซับความชื้นได้ดี และเนื้อผ้ายังไม่ขึ้นเป็นขุย แต่ก็ต้องคอยดูแลรักษาและระวังในขั้นตอนการซักทำความสะอาดเป็นพิเศษ ส่วนที่มาของเส้นใยไหมนั้นจะต่างจากเส้นในประเภทอื่น ๆ ตรงที่มาจากสัตว์แทนที่จะมาจากพืช โดยเส้นใยที่ได้จะมาจากรังของหนอนไหมนำไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ สุดท้ายจึงได้ออกมาเป็นเส้นใยคุณภาพที่ได้ราคาสูงอย่างที่เห็นกัน

ใยฝ้าย

ใยฝ้ายสีขาวที่เป็นปุยนุ่ม ๆ กลม ๆ อยู่บนเมล็ดสีน้ำตาลที่แห้งจนแตกออกมาและกลายเป็นปุยฝ้ายอย่างที่เห็น แต่ฝ้ายนั้นก็มีอยู่หลายพันธุ์ บางพันธุ์ก็มีเส้นใยที่ยาว บางพันธุ์ก็มีเส้นใยที่สั้น จึงต้องนำมาปั่นรวมกันให้กลายเป็นด้ายก่อนจะนำไปทอเป็นผ้าสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่ผ้าเนื้อบางอย่างผ้าสาลูที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม ระบายอากาศและซับน้ำได้ดี จึงเหมาะกับการนำไปใช้เป็นผ้าอ้อมและผ้าสำหรับเช็ดถ้วยชามต่าง ๆ ไปจนถึงผ้าเนื้อหนาอย่างผ้ายีนส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานก็ใช้การทอจากใยฝ้ายเหมือนกันค่ะ ที่เห็นใช้งานได้เยอะขนาดนี้ก็เพราะผ้าฝ้ายนั้นทั้งทนทาน ดูดซับน้ำได้ดี ย้อมสีติดง่ายแถมยังราคาไม่สูง จึงเป็นเส้นใยที่มีการนำไปใช้งานมากที่สุด

การทอ

กี่ หรือ หูก เป็นเครื่องทอผ้าพื้นบ้านที่พัฒนามาจากการทอผ้าโดยผูกด้ายเส้นยืนกับต้นไม้หรือเสาเรือน มาเป็นโครงสี่เหลี่ยม กี่ทอผ้า มีไม้คานกี่เป็นโครงด้านบนเพื่อรับไม้คานหาบที่รับน้ำหนักของฟืมด้วยเชือก และมีสายเชือกโยงไม้ขัดร่องเขาที่หัวท้าย มีไม้กำสำหรับยึดเส้นด้ายยืน โครงสร้างและส่วนประกอบของกี่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทอผ้า ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ จึงอยากนำเสนอให้หลายๆท่านที่สนใจได้ทำความเข้าใจ

กี่ทอผ้า มีทั้งกี่พุ่งซึ่งจะใช้กระสวยพุ่งเส้นด้ายเส้นนอนหรือเส้นพุ่งด้วยมือ และกี่กระตุกที่พุ่งเส้นกระสวยด้วยการกระตุกสายบังคับให้กระสวยวิ่งกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว

กี่ทอผ้าในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นแบบขาตั้ง เป็นรูปแบบที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในท้องถิ่น นิยมทำจากไม้เนื้อแข็ง มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้

1.เสาหลักขาตั้งหูกเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยม ขนาดความสูงเท่ากันทั้ง 4 ต้น

2. ไม้คานหูกเป็นคานไม้พาดเชื่อมต่อระหว่างเสาหลักทั้ง 4 ต้น เครือเส้นด้ายยืนพาดบนไม้คานด้านหน้าและโยงมาผูกไม้คานด้านหลังดึงเส้นยืนให้ตรง

3. ไม้รองนั่งเป็นแผ่นไม้ที่พาดไว้บนคานไม้ด้านล่างด้านคนทอ เพื่อให้คนทอนั่งคนทอนั่งและวางอุปกรณ์ การทอ เช่น ตะกร้าใส่ด้าย ใส่หวี

4. ไม้ม้วนผ้าหรือไม้กำพั่น หรือไม้กำพัน เป็นท่อนไม้สี่เหลี่ยมที่ปลายทั้งสองข้างเสียบเข้าเดือยที่หลักไม้ ด้านใกล้กับผู้ทอเพื่อม้วนเก็บผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยเอาไว้

5. ไม้หาบหูกเป็นไม้ไผ่ทรงกระบอกขนาดกลางยาวพาดคานไม้ เพื่อใช้ผูกเชือกโยงฟืมและรอกที่พยุงตะกอหรือเขาเอาไว้

6.ไม้เหยียบหูกเป็นไม้ไผ่ลำขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1 เมตร ผูกโยงกับตะกอหรือเขาสำหรับเหยียบเพื่อบังคับการสลับขึ้นลงของเครือเส้นด้ายยืน จำนวนไม้เหยียบขึ้นกับจำนวนตะกอที่ใช้ทอผ้า

7. ตะกอหรือเขาเป็นแผงเส้นด้ายที่ถักเกี่ยวเครือเส้นด้ายยืนเอาไว้ โดยใช้ไม้ไผ่ 2 ซี่เป็นคาน ถ้าเป็นผ้าทอแบบสองตะกอก็จะมีตะกอหรือเขา 2 อัน ซึ่งจะคัดเก็บเครือเส้นด้ายยืนสลับกันเส้นต่อเส้น เพื่อยกเส้นด้ายยืนขึ้นลง ให้กระสวยเส้นด้ายพุ่งผ่านไปสานทอขัดเพื่อให้เกิดลวดลายบนผืนผ้า

8.ฟืม(ฟันหวี)เป็นอุปกรณ์การทอที่สำคัญที่อยู่หน้าตะกอหรือเขา ใช้กระทบเส้นด้านพุ่งให้สานทอกับเส้นด้ายยืนเป็นผืนผ้า หน้าฟืมจะมีทั้งขนาดยาวและขนาดสั้น ขึ้นกับว่าจะทอผ้าหน้าแคบหรือกว้างสามารถถอดเปลี่ยนได้

9.รอกเป็นอุปกรณ์ช่วยพยุงตะกอหรือเขา โดยผูกโยงไว้กับไม้คานหูก

ขั้นตอนการทอผ้าด้วยกี่กระตุก

วัสดุ/อุปกรณ์ที่ใช้

1. ด้ายยืน

2. ด้ายพุ่ง

3. กี่

4. เครื่องค้นด้าย

5. ฟันฟืม หรือฟันหวี

6. ไม้ม้วน

7. ตะกอ (มีไว้สำหรับให้เส้นด้ายสอดขึ้นลง)

ขั้นตอนการเตรียมด้ายยืนโดยใช้ด้ายประดิษฐ์เบอร์ 40/2 ที่ย้อมสำเร็จแล้วนำมาปั่นเข้าหลอด เมื่อเข้าหลอดเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตั้งเป็นร้านเพื่อเดินด้ายเข้ารูปโครง

ขั้นตอนการเตรียมด้ายพุ่งโดยการเข้ารูปโครงให้เสร็จก่อน และต้องคำนวณดูว่าจะใช้กี่เมตร เมื่อคำนวณได้แล้วก็จะหาความกว้าง ความยาว เช่น ถ้าตั้งเส้นด้าย 76 หลอดและต้องการผ้าหน้ากว้าง 40” ก็จะเดินด้าย 16 ครั้ง หรือ 16 เที่ยว จะได้เส้นด้ายออกมาทั้งสิ้น 1216 ฟันหวี สำหรับความยาวนั้นนับเอาจากม้าเดินด้าย ถ้าม้าเดินด้ายยาวตัวละ 5 เมตร ก็จะใช้ 1 หลัก 5 เมตร ถ้าต้องการ 100 เมตร ก็ใช้ 10หลัก เมื่อได้ความยาว ความกว้างแล้วก็จะเตรียมเข้าฟันหวีต่อไป

การจัดเส้นด้ายเข้ารูปโครงเมื่อได้ความกว้าง ความยาวแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เตรียมด้ายเข้าฟันหวีหรือเรียกอีกอย่างว่าฟันฟืม ถ้าหากต้องการฟันหวี 40” หมายถึง 1216 ฟันหวี ก็จะเอาเส้นด้ายร้อยเข้าไปในฟันหวีเพื่อที่จะเตรียมม้วนต่อไป (ฟันหวี เป็นฟืมที่ใช้สำหรับทอผ้าที่จะให้เป็นผืนผ้าออกมา เส้นด้ายทุกเส้นจะต้องผ่านฟันหวีก่อน) เมื่อร้อยฟันหวีเสร็จแล้วก็จะนำเอาเข้าม้าม้วน คือไม้ม้วนที่เราจะใช้เก็บด้ายไว้ เมื่อม้วนด้ายหมดแล้วก็จะเตรียมการจัดตะกอด้ายต่อไป การนำเข้าม้าม้วนเราต้องตรวจสอบฟันหวีดูว่า ฟันหวีจะต้องครบไม่มีการขาด ไม่มีการเกิน เพราะจะทำให้ผ้าเกิดมีตำหนิได้ เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วก็จะเตรียมตะกอด้ายต่อไป

การเก็บตะกอต้องตรวจเส้นด้ายที่ม้วนมาว่าไม่ผิด คือต้องมีเส้นบน เส้นล่าง และ เส้นบนต้องอยู่บน เส้นล่างต้องอยู่ล่าง ตะกออันนี้เวลาเหยียบเส้นด้ายจะมีการขับกันขึ้นลงที่จะทออกมาเป็นผืนผ้า

การนำเข้ากี่จะใช้ม้วนด้ายที่ได้เตรียมไว้ นำเข้าไปในกี่ประกอบให้เรียบร้อย ผูกตะกอมัดโยงทั้งข้างบน ข้างล่างจนเรียบร้อยก็เตรียมทอได้เลย

การเตรียมทอคือ การเตรียมด้ายพุ่ง ถ้าเราจะทอผ้าสีธรรมดา เราก็ใช้ด้ายสีขาวย้อมสีตามที่เราต้องการว่าจะใช้สีอะไร แต่ถ้าเป็นผ้าขาวม้าก็จะใช้สลับสี สลับลายไปมา ถ้าเป็นผ้ามัดหมี่ ก็จะต้องเตรียมเส้นด้ายสีขาวมาเข้าใจเมื่อเข้าใจด้ายแล้วก็จะนำมามัดย้อมตามที่เราต้องการ สำหรับการมัดย้อมก็จะใช้วิธีมัดย้อมว่าจะใช้สีไหน ลายอะไร แล้วก็นำมามัดเป็นผืนผ้า ต้องการสีอะไรก็ย้อมสีนั้น เมื่อมัดย้อมเสร็จแล้วก็จะนำด้ายนั้นมาเข้าระวิงโดยให้ตัดเชือกที่มัดเอาไว้ออก ด้ายก็จะออกมาเป็นลวดลาย แล้วนำมาเข้าระวิง เพื่อจะกรอใส่หลอดเล็กๆ เมื่อกรอเสร็จแล้วก็จะนำเข้ากระสวยสำหรับนำมาทอผ้าต่อไป ในด้านการทอผ้า ถ้าเป็นผ้าสีธรรมดาก็จะพุ่งด้ายได้เร็วมาก แต่ถ้าเป็นการทอผ้ามัดหมี่ ต้องมาเรียง มาจัดลายที่ต้องการ เข้าดอก เข้ารูป เข้าทรง แต่ถ้าเป็นผ้าขาวม้า จะใช้วิธีสลับสี สลับลาย คือ เปลี่ยนกระสวยไปเรื่อย ๆ

การค้นด้ายจากหลักประกอบด้วยอุปกรณ์ร้านที่ตั้งด้าย ร้านที่เป็นลูกหลักสำหรับพันด้าย จากนั้นดึงเส้นด้ายไปพันกับหลักพันด้ายบนร้านตั้งลูกหลัก

สอดฟันฟืมถ้าใช้ฟืมห่างด้ายเส้นยืนจะบางเนื้อผ้าไม่แน่น ถ้าใช้ฟืมถี่เนื้อผ้าจะแน่นละเอียด การสอดฟันฟืมจะต้องใช้ 2 คน คนแรกเป็นคนส่งด้าย โดยให้ด้ายเกี่ยวกับตะขอส่งให้อีกคน ซึ่งจะเป็นคนนำเส้นด้ายมาสอดดับฟืม จากนั้นส่งกลับให้คนส่งด้าย ทำแบบนี้เรื่อยไปจนกว่าด้ายจะหมด

การม้วนประกอบด้วยอุปกรณ์ ไม้ม้วน 1 อัน ร้านตั้งด้ายที่จะม้วน เอาม้วนด้ายมาวางแล้ว นำฟืมมาคั่น จากนั้นลากฟืมม้วนใส่ไม้ม้วน

การตะกอประกอบด้วยอุปกรณ์ เส้นด้าย ไม้สำหรับริ่วเขา 4 อัน เต่าซึ่งเป็นตัวจัดเส้นด้ายให้เท่ากัน

ขั้นตอนการทอผ้าด้วยกี่มือ

วัตถุดิบและส่วนประกอบ

1. กี่ หมายถึง เครื่องมือในการทอผ้าทำเป็นโครงสร้างไม้หรือเหล็ก

2. ไม้ดาบ ” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แยกด้ายเส้นยืนออกจากกัน

3. กระสวย ” ใช้สำหรับทอพุ่งเส้นด้ายพุ่ง

4. ฟืม ” เป็นอุปกรณ์สำหรับการเรียงเส้นด้ายเพื่อทอ

5. ม้าเหยียบ ” เป็นเครื่องมือในการทอผ้าที่ประกอบคู่กับกี่ทอผ้า

6. เขาเหยียบ ” เป็นอุปกรณ์ที่ยกเส้นด้ายยืนออกจากกันในการทอ

7. เขาฟืม ” เป็นอุปกรณ์สำหรับเรียงเส้นด้าย

8. ด้ายเส้นยืน ” เป็นเส้นด้ายที่เรียงอยู่ในฟืม

9. ด้ายสอด ” เป็นเส้นด้ายหรือไหมสีต่าง ๆ ที่ใช้ทอทำลวดลายด้วยวิธีการยกเขา

10. ด้ายพุ่ง ” เป็นเส้นด้ายที่ใสกระสวยแล้วพุ่งไประหว่างด้ายเส้นยืน(เป็นสีเดียวกันกับด้ายเส้นยืน)

11. ด้ายแต่งดอก ” เป็นเส้นด้าย ( สีต่าง ๆ ) สำหรับแต่งเป็นลวดลาย

12. ลอกล้อ ” เป็นอุปกรณ์สำหรับดึงเขายกดอกกับม้าเหยียบ

13. หลอด ” เป็นเครื่องมือที่ใช้ใส่ด้าย

14. เผี่ยน ” เป็นอุปกรณ์ในการปั่นฝ้ายในเป็นเส้นด้าย

15. เขายกดอก ” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บลายผ้า

16. เผียขอ ” เป็นอุปกรณ์สำหรับโว้นด้ายเพื่อนำไปทอผ้า

17. โก้งกว้าง ” เป็นอุปกรณ์ในการกวักด้ายเพื่อนำไปโว้น

18. หางเห็น ” เป็นอุปกรณ์สำหรับเสียบมะกวักเพื่อกรอเส้นด้าย

19. มะกวัก ” เป็นอุปกรณ์ในการกรอเส้นด้ายเพื่อนำไปโว้น

20. ขนเม่น หรือ ไม้แหลม ” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจกด้ายพุ่งเส้นยืน

ขั้นตอนการผลิต

1. คัดเลือกเส้นด้ายที่จะทอ คัดเลือกสี

2. คัดเลือกเครือที่มีลวดลายที่ต้องการ

3. ทำการทอ

เทคนิค / เคล็ดลับในการผลิต

- คัดและตรวจสอบเส้นด้ายที่จะทำการทอ

- การให้สีที่กลมกลืนและลงตัว

- การทอต้องเรียบและแน่น

- ใช้ยางยืดในการควบคุมสกอ

สีที่ใช้ย้อม

สีธรรมชาติสามารถใช้ส่วนที่ได้จากใบ เปลือก แก่น ราก ดอก ผล เมล็ด เป็นตัวให้สีซึ่งการได้สีนั้นจะต้องใช้การสกัดสี ด้วยกรรมวิถีต่างๆ เพื่อรักษาคุณภาพของสีไว้ตามความเหมาะสม ของชนิดพื้นนั้นๆ

การสกัดสีธรรมชาติการสกัดสีธรรมชาติ คือ วิธีการแยกส่วนที่เป็นสีออกมาจากวัตถุดิบ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการย้อมสีได้ โดยก่อนการสกัดสีให้ได้ออกมามากที่สุด กรรมวิธีการสกัดที่นิยมใช้กัน มี 2 วิธี ดังนี้

๑. การสกัดร้อนคือ การสกัดสีโดยใช้ความร้อนเป็นตัวสกัดสีจากวัตถุดิบ โดยนำ

ส่วนต่างๆ ของพืชมาทำให้ละเอียดด้วยการสับ บด ตำ หรือคั้นผสมน้ำและต้มสกัดสี ระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง แล้วกรองเก็บเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำสีไว้สำหรับย้อมเส้นไหม

๒. การสกัดเย็นคือ การสกัดโดยไม่ใช้การต้ม เนื่องจากสารให้สีบางชนิดในพืช

จะเสื่อมสภาพเมื่อถูกความร้อนจึงสกัดสีโดยการนำส่วนที่ให้สีของพรรณไม้มาโขลกหรือขยี้ให้แหลก แล้วนำมาคั้นน้ำหรือแช่น้ำและหมัก เป็นระยะเวลาต่างๆ กัน แล้วแต่ชนิดของพืช เช่น มะเกลือ สารบางชนิดในพืชนั้นจะเปลี่ยนเป็นสารที่ให้สีเมื่อผ่านการหมัก เช่น คราม ฮ่อม

การย้อมสีธรรมชาติ

๑.การย้อมร้อนเป็นกรรมวิธีที่ใช้ความร้อนในการต้มน้ำสีสกัดกับเส้นใบเพื่อให้โมเลกุลของสีเข้าไปในเส้นใย นิยมใช้กับสีที่สกัดด้วยวิธีสกัดร้อน เนื่องจากขนาดของเม็ดสี ขนาดใหญ่ จึงต้องใช้ ความร้อนเป็นตัวช่วยให้สีเข้าสู่เส้นใย

๒.การย้อมเย็นเป็นกรรมวิธีการย้อมโดยการ reduce สารที่เป็นสีในพืชให้เป็นสารที่ละลายน้ำ แล้วจึงนำเส้นไหมมาย้อมแล้วนำไปผึ่งแดด ซึ่งการผึ่งแดดทำให้เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ (Oxidation) ทำให้เกิดสีบนเส้นใยและไม่ละลายน้ำ เช่น การย้อม ฮ่อม คราม เป็นต้น

สารช่วยติดสี ( Mordant)คือ สารช่วยให้สีติดกับเส้นด้ายดีขึ้นและสารบางชนิดสามารถทำให้เฉดสีเปลี่ยนแปลงไปจากสีเดิม ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมทางเคมีระหว่างโมเลกุลสีและเส้นใย ปัจจุบันมีการใช้สารช่วยติดสีที่ได้จากสารเคมีและธรรมชาติ ดังนี้

สารช่วยติดสี อนินทรีย์

สารส้มมีความปลอดภัยสูงและการย้อมเฉดสีน้ำตาล เหลือง และเขียว ช่วยให้สีจับยึดติดกับเส้นใยให้ดีชึ้น ปริมาณที่ใช้ 7 % ของน้ำหนักวัสดุ

จุนสีใช้สำหรับเฉดสีเขียว น้ำตาลดำ ทำให้สีติดดีขึ้น และมีสีเข้ม ปริมาณที่ใช้ 2 % ของน้ำหนักวัสดุ ข้อควรระวังไม่ควรใช้ปริมาณมากเกินไปและสัมผัสโดยตรง เพราะจะทำให้เกิดการตกค้างของทองแดงในน้ำทิ้งหลังการย้อม

เกลือของเหล็ก หรือสนิมเหล็กใช้สำหรับเฉดสีเทา สีดำ ปริมาณที่ใช้ 3-6 %ของน้ำหนักวัสดุ ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะเหล็กจะทำให้เส้นด้ายเปื่อน

เกลือของโครเมียมสำหรับเฉดสีทองเหลืองสดใส ปริมาณที่ใช้ 1%ของน้ำหนักวัสดุ

น้ำโคลนควรใช้โคลนที่ได้จากสระ คู คลอง หรือบ่อน้ำที่มีน้ำขังตลอดปี โดยนำโคลนมาผสมในอัตราส่วน 1 : 1 ถึง 5 ผสมให้เข้ากันแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางเอาเฉพาะส่วนที่เป็น้ำโคลนมาแช่เส้นไหมที่ย้อมสี ครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโมง

สารช่วยติดสีอินทรีย์

แทนนินเป็นสารที่มีอยู่ในพืชที่มีรสฝาดและขม เช่น สในยูคาลิปตัส ลูกหมาก ใบฝรั่ง ชา เป็นต้น

โปรตีนจากนมถั่วเหลืองใช้ต้มกับเส้นใยก่อนการย้อมสี เพื่อช่วยในการเพิ่มโปรตีนบนเส้นใยบางชนิดเพื่อให้สีติดดียิ่งขึ้น โดยแช่ไว้ 1 คืน

กรดออกซาลิก กรดทาร์ทาริก กรดฟอร์มิคจากน้ำต้มตัวมดแดงสำหรับการย้อมคราม พืชที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะขามเปียก ใบมะขาม ลูกมะเฟือง

นอกจากนี้ยังมีน้ำปูนใส น้ำบาดาล น้ำด่างธรรมชาติ เกลือแกง

การทำน้ำด่างธรรมชาติ

การเตรียมน้ำด่างธรรมชาติโดยใช้พืชที่พบทั่วไปในทุกๆภาคของประเทศไทย ได้แก่ ผักโขมหนาม นุ่น ประดู่บ้าน สะแก เหง้ากล้วย เดือยตาลเป็นต้นนำมาเตรียมโดยใช้วิธีการตากแห้ง แล้วจึงนำไปเผาให้เป็นขี้เถ้า จากนั้นปล่อยให้เย็นแล้วจึงนำไปร่อนผ่านตะแกรง เพื่อเก็บส่วนที่เป็นขี้เถ้าละเอียดมาใช้ในน้ำด่างต่อไป

การลอกกาวแบบที่ 1

การเตรียมน้ำด่างธรรมชาติ

1. เตรียมถังเปล่าที่เจาะรูบริเวณก้นถัง แล้วแบ่งออกเป็น 4 ส่วน

2. นำขี้เถ้าที่ร่อนผ่านตะแกรงแล้วมาอัดให้แน่นในถังประมาณของถัง

3. เตรียมถังหรือภาชนะสำหรับรองรับน้ำด่างแล้วใช้ไม้พาด เพื่อวางถังที่บรรจุขี้เถ้า

4. นำถังที่บรรจุขี้เถ้าวางบนภาชนะที่รองรับน้ำด่าง

5. ค่อยๆเติมน้ำสะอาดลงบนขี้เถ้าให้ท่วมเต็มพื้นที่ 1 ส่วนในถังที่แบ่งไว้

6. รอจนน้ำซึมลงไปในถังขี้เถ้าจนหมด จึงเติมน้ำลงไปอีกให้เต็ม

รองเก็บน้ำด่างไว้ใช้ต่อไป

การลอกกาวไหม

1. นำน้ำด่างธรรมชาติ (ph มากกว่า 13) ผสมน้ำประมาณ 3-5 เท่า

2. แช่เส้นไหม จนกว่าเส้นไหมจะนิ่มอ่อนตัว มีเมือกเล็กน้อย

3. บิดเส้นไหมหมาดๆ แล้วนำเส้นไหมไปลอกด้วยน้ำเดือดจัด ประมาณ 5 นาที 2 ครั้ง หรือจนกว่ากาวจะออกหมด หรือเส้นไหมฝืด จากนั้นพักให้เย็นล้างน้ำสะอาด 4-5 ครั้ง นำไปกระตุกเส้นไหมให้เรียงตัว ผึ่งให้แห้ง

การลอกกาวแบบที่ 2

การเตรียมน้ำด่างธรรมชาติ

อัตราส่วนที่ใช้ ขี้เถ้า 2 กิโลกรัม น้ำ 30 ลิตร ใช้สำหรับต้มลอกกาวเส้นไหม 1 กิโลกร้ม

1. ใส่ขี้เถ้าลงในถุงผ้าที่ผูกแขวนไว้เหนือภาชนะรองรับน้ำด่าง

2. ค่อยๆเติมน้ำลงบนขี้เถ้า กรองเก็บน้ำไหลผ่านขี้เถ้าและเติมน้ำจนครบปริมาตรที่กำหนด

3. ตักน้ำที่ได้จากการกรองเทผ่านขี้เถ้าหลายๆครั้ง จนได้น้ำด่างเข้าข้นขี้น (ph มากกว่า 10)

4 เก็บน้ำด่างไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป

การลอกกาวไหม

1. เตรียมเส้นไหมดิบที่จะลอกกาว โดยการนำไปแช่น้ำให้เส้นไหมอิ่มตัวจากนั้นบิดให้หมาด

2. นำน้ำด่างธรรมชาติที่กรองมาใส่ภาชนะแสตนเลส ต้มให้ร้อนจัดประมาณ 90 องศาเซลเซียส

3. นำเส้นไหมลงต้มลอกกาว คอยสังเกตเส้นไหมจะมีเมือกที่ลื่นออกมาแสดงว่ากาวไหมได้ละลายออกจากเส้นไหม

4. ต้มทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที หรือเมื่อจับเส้นไหมแล้วมีความฝืด ซึ่งสามารถใช้น้ำราดลงบนเส้นไหมเล็กน้อย เพื่อดูว่าลอกกาวหมดหรือไม่ ระวังอุณหภูมิไม่ให้เดือดจัด เพราะจะส่งผลให้เส้นไหมแตกฟู

5. ยกเส้นไหมขึ้นพัก แล้วบิดให้หมาด นำไปล้างในน้ำอุ่นให้กาวหลุดอีกครั้ง แล้วนำไปล้างในน้ำสะอาดอีกหลายๆครั้ง

6. บิดเส้นไหมให้แห้งแล้วกระตุกเส้นไหมให้เรียงตัว ผึ่งในที่ร่มจนแห้งหรือนำไปย้อมสีต่อ

กลุ่มเฉดสีเหลืองทอง

ขนุน

การสกัดสี

1. เตรียมแก่นต้นขนุนอัตราส่วน 8 กิโลกรัม ต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม นำมาสับป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำปริมาณ 30 ลิตร

2. นำไปต้มในน้ำเดือด นาน 1 ชั่วโมง

การย้อมสี

1. เตรียมสารส้มจำนวน 100 กรัม ละลายในน้ำ 30 ลิตร เพื่อแช่เส้นไหมนาน 15 นาที

2. นำเส้นไหมชุบน้ำบิดหมาดย้อมเย็นในน้ำสีสกัดนาน 15 นาที ยกไหมออกพักไว้

3. นำเส้นไหมไปย้อมร้อนโดยการจับเวลาที่อุณภูมิน้ำ 90 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

4. นำเส้นไหมมาล้างด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำยาซักล้างเอนกประสงค์ แล้วนำมาล้างด้วยน้ำจนสะอาดหมดฟอง

มะพูด

การใช้ประโยชน์ในการย้อมสี

มะพูดสามารถนำมาย้อมสีได้ทั้งใบและเปลือกต้น ซึ่งจะให้เฉดสีเหลือง เฉดสีจะเปลี่ยนไปตามตัวช่วยติดสี เช่น สารส้ม จะให้เฉดสีเหลืองสว่าง สารส้มผสมโคลนจะให้เฉดสีเหลืองอมน้ำตาล มะขามเปียกจะให้เฉดสีเหลืองทอง หากนำมะพูดผสมกับผลมะเกลือ และใช้ตัวช่วยติดสีเป็นสารส้ม จะได้เฉดสีน้ำตาลอมเหลือง

การสกัดและย้อมสีด้วยเปลือกต้นมะพูด

1. เตรียมเปลือกต้นมะพูด อัตราส่วน 200 กรัม ต่อเส้นไหม 100 กรัม

2. นำวัตถุดิบที่ใช้มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำให้ท่วม

3. ต้มสกัดสี ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

4. เมื่อครบตามกำหนดเวลา กรองอาเศษวัสดุและตะกอนออก เก็บน้ำสีไว้สำหรับย้อมเส้นไหม

5. เตรียมมะขามเปียกปริมาณ 10 กรัม ผสมกับน้ำเปล่า 5 ลิตร แล้วกรองเอาน้ำมาแช่เส้นไหมที่ลอกกาวแล้ว ใช้เวลาแช่ 30 นาที

6. จากนั้นเตรียมปริมาตรน้ำสีที่สกัดได้ปริมาณ 5 ลิตร

7. ต้มน้ำสีที่สกัดจากวัตถุดิบที่อุณหภูมิ 80 องศสเซลเซียส

กลุ่มเฉดสีชมพู ม่วง แดง

ฝางส่วนที่นิยมนำมาย้อมสี คือ แก่น ซึ่งจะให้เฉดสีชมพู แดง ความเข้มของเฉดสีนั้นจะเปลี่ยนไปตามตัวช่วยติดสี เช่น หากใช้สารส้ม จะให้เฉดชมพู เกลือแกงผสมกับสารส้ม จะให้เฉดสีแดง หากใช้น้ำปูนใสหรือน้ำด่างจะให้เฉดสีม่วง

การสกัดสี

1. เตรียมแก่นต้นฝางอัตราส่วน 500 กรัม ต่อเส้นไหม 50 กรัม นำไปล้างให้สะอาด

2. เติมน้ำพอท่วมแล้วนำไปต้มให้เดือดนาน 1-2 ชั่วโมง

3. ครบเวลา กรองเก็บเฉพาะน้ำสีแล้วปรับปริมาตรเป็น 5 ลิตร

การย้อมสี

1. นำเส้นไหมที่ลอกกาวแล้วไปแช่น้ำให้อิ่มตัวแล้วบิดหมาด กระตุกให้เส้นไหมเรียงตัว

2. นำน้ำสีที่ได้มาต้มให้เดือด ใส่สารส้มลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลายเข้ากัน

3. จากนั้นนำเส้นไหมที่เตรียมลงไปย้อมสีแบบย้อมร้อน หลิกเส้นไหมไปมาเพื่อให้สีติดสม่ำเสมอนาน 30-45 นาที หรือจนกว่าเส้นไหมจะดูดน้ำสีจนหมด (น้ำสีจะใส)

4. เมื่อครบเวลา นำเส้นไหมที่ย้อมไว้ขึ้นมาบีบน้ำออกให้หมาด ล้างในน้ำจนเส้นไหมสะอาด กระตุกให้เส้นเรียงตัวแล้วผึ่งให้แห้ง

สถานที่ตั้ง
ตำบล ชุมตาบง อำเภอ ชุมตาบง จังหวัด นครสวรรค์
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
บุคคลอ้างอิง อวยพร พัชรมงคลสกุล อีเมล์ paitoog@hotmail.com
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่