ข้าวฟ่างที่ปลูกครั้งแรกในประเทศไทยนั้นสันนิษฐานว่า เป็นข้าวฟ่างคั่ว พวกข้าวฟ่างหางช้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะปลูกกันตามรั้วบ้านเขตที่ดินหรือคันนา และเนินดินในปริมาณไม่มากนัก ข้าวฟ่างพวกนี้มีลักษณะของเมล็ดค่อนข้างเรียวเล็ก สีขาวข้างในเป็นแป้งใสสีออกเหลืองเรื่อๆ ช่อรวงกระจายแบบรวงข้าว ต้นสูง ค่อนข้างใหญ่ ทั้งนี้ขึ้นกับระยะเวลาของการปลูก ถ้าปลูกปลายฤดูฝนคือ ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ต้นจะเตี้ยและผอม ออกดอกติดเมล็ดเร็วกว่าปลูกต้นฝนมาก เพราะเป็นพันธุ์ที่มีลักษณะไวต่อช่วงแสง การนำข้าวฟ่างพวกนี้เข้าสู่ประเทศไทยนั้น ไม่ทราบแน่ชัดว่า เข้ามาได้เมื่อใด และอย่างไร แต่สันนิษฐานว่า พวกชาวเขาเป็นผู้นำเข้ามาเพื่อใช้คั่วรับประทาน ปัจจุบันพบว่า ข้าวฟ่างชนิดนี้ใช้เป็นอาหารนก ใช้คั่วและเปียก เป็นขนมรับประทานกันอยู่บ้าง ในหมู่คนไทยในชนบททั่ว ๆ ไป
ส่วนผสม การทำข้าวฟ่างเปียก
๑. ข้าวฟ่างหางม้า ๒ กิโลกรัม
๒. น้ำตาล ๒ กิโลกรัม
๓. แป้งข้าวโพด ๔ ช้อนโต๊ะ
๔. กะทิ ๖ กิโลกรัม
ขั้นตอนและวิธีการทำ ข้าวฟ่างเปียก
๑) ล้างข้าวฟ่างให้สะอาด
๒) ตั้งหม้อต้มน้ำใส่น้ำ ๑๐ ลิตร ใส่ข้าวฟ่างที่เตรียมไว้ ๒ กิโลกรัม (ใช้น้ำ ๕ ลิตรต่อข้าวฟ่าง ๑ กิโลกรัม)
๓) เติมน้ำตาลลงไประหว่างการเคี่ยว ๒.๘ ลิตร (ใช้น้ำตาล ๑.๔ ลิตร ต่อข้าวฟ่าง ๑ กิโลกรัม)
๔) เคี่ยวข้าวฟ่าง ใช้ไม้พายกวนให้ถึงก้นหม้อตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ข้าวฟ่างไหมติดก้นหม้อ ระหว่างเคี่ยวใช้ทัพพีคอยตักฟองและเศษเปลือกข้าวฟ่างที่อาจจะหลงเหลืออยู่ทิ้ง
๕) นำแป้งข้าวโพดผสมน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ลงในหม้อข้าวฟ่าง เคี่ยวให้ได้ที่ นำข้าวฟ่างที่เคี่ยวจนเสร็จแล้วมาพักในอุณภูมิปกติ
๖) เตรียมทำน้ำกะทิราด (ใช้กะทิ ๓ กิโลกรัม ต่อข้าวฟ่าง ๑ กิโลกรัม) ต้มกะทิด้วยไฟอ่อนให้พอเดือด ใส่เกลือชิมรสให้ออกเค็ม
๗) ละลายแป้งข้าวเจ้า ๑๐ ช้อนโต๊ะ ในน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ผสมลงในหม้อเพื่อให้กะทิข้น
๘) ใส่น้ำตาลทราย ๑๐ ช้อนโต๊ะ เกลือ ๕ ช้อนโต๊ะ เพื่อปรุงรสน้ำกะทิ
๙) คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด แต่ข้อควรระวัง ไม่ควรให้กะทิเดือดเป็นฟอง และไม่ต้มจนกะทิแตกมัน
๑๐) เมื่อกะทิเดือดแล้วจึงยกลงจากเตา ตักใส่จานพร้อมรับประทาน