ขนมโค คือ ขนมโค ขนมพื้นบ้านชาวปักษ์ใต้ คล้ายขนมต้มขาวของคนภาคกลาง เชื่อว่าเป็นขนมโบราณที่ยังคงสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ขนมโคยังมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับพื้นที่ภาคใต้มาอย่างยาวนาน จากความเชื่อของคนพื้นถิ่นที่ว่า ขนมโค เป็นขนมมงคล ใช้บนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือทั้งผีพราหมณ์-พุทธ เช่น หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พระพิฆเณศ เป็นต้น |
ขนมโคนั้น มีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก เพราะมักทำขึ้นในโอกาสหรือพิธีทางศาสนา เช่น จะใช้เป็นขนมไหว้เจ้าที่เจ้าทาง หรืออย่างเด็กเกิดใหม่ สมัยก่อนเขาจะทำขนมโค เพื่อความเป็นสิริมงคล หรือที่เรียกว่า “ตั้งราษฎร์” จะด้วยว่าเป็นขนมที่ทำไม่ยาก วัตถุดิบหาง่าย และรสชาติก็อร่อยแบบพื้นบ้าน จึงนิยมทำกันจนทุกวันนี้ขนมดอกจอก ในสมัยก่อนเป็นที่นิยมมากจะเป็นหนึ่งในขนมที่จัดขึ้นในงานและพิธีการสำคัญต่างๆ เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น ไม่แพ้ขนมไทยอย่างทองหยิบ ทองหยอด หรือฝอยทองที่เป็นที่นิยมทั่งในอดีตและปัจจุบัน
ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย จนทำให้คนรุ่นหลัง แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในราชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงสุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น “ของเทศ” เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ |
ส่วนผสมการทำขนมโค - ๑. แป้งข้าวเหนียว ๑/๒ ถ้วย
- ๒. น้ำ ๔-๕ ช้อนโต๊ะ
- ๓. น้ำตาลแว่นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- ๔. สีผสมอาหารหรือสีที่ได้จากธรรมชาติ
- ๕. มะพร้าวขูด
- ๖. เกลือ
|
วิธีการทำขนมโค ๑. ค่อยๆผสมน้ำลงในแป้งและผสมสีตามที่ชอบลงไป นวดจนเนียน แป้งไม่ติด อย่าแฉะหรือแห้งเกินไป พักแป้งไว้ในอ่างปิดอย่างน้อย 1 ชม (หนึ่งพักในตู้เย็น 1 คืน แล้วนำออกมานวดก่อนปั้น) ๒. ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ใส่ไส้น้ำตาลแว่น คลึงให้กลม ขนาดเล็กพอประมาณ แต่ต้องใหญ่พอจะใส่น้ำตาลแว่นได้ ๓. น้ำใส่หม้อ ตั้งไฟปานกลางจนร้อน (ถ้ามีใบเตยใส่ลงไปต้มกับน้ำจะได้หอมๆ) นำแป้งขนมที่ปั้นเสร็จไปต้ม พอขนมสุกจะลอยขึ้น ช้อนเอาขนมที่สุกไปคลุกกับมะพร้าวขูดที่เตรียมไว้ รอให้เย็นแล้วพร้อมเสิร์ฟรับประทานได้ |