สะนูหรือ ทะนู (เขียนอย่างภาษาอีสาน) เป็นเครื่องเล่นประกอบว่าว ในภาคอีสานมาแต่โบราณ โดยมีส่วนประกอบหลักคือ คัน เคา เปิ้น คันสะนู ทำจากไม้ไผ่ซางไพ หรือไผ่บ้าน อายุตั้งแต่ ๓-๔ ปีขึ้นไปเพราะจะมีความแข็งเหนียว ยืดหยุ่นดี เคา หมายถึง ส่วนที่เป็นสายระหว่างเปี้น(ปื้น)สะนูกับปลายคันทั้งสองข้าง แต่ก่อนนิยมใช้สายไหมทำ แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ด้ายไนล่อนอ่อน เปี้น(ปื้น)เป็นตัวที่ทำให้เกิดเสียงเวลาต้องลมพัด เปี้นจะหมุนไปมาโดยมีเคาเป็นตัวยึด เกิดเป็นเสียงสูงต่ำ เปี้นสะนู ทั่วไปจะทำจาก ใบลาน ใบตาล ใบเกด (การะเกดหรือลำเจียก) ซึ่งใช้เป็นของเล่นเด็ก ถ้าเป็นสะนูมาตรฐาน จะทำจากหวายเพราะจะเหนียวและให้เสียงดี
อุปกรณ์ ในการทำสะนูว่าว1. หวายแก่ปล้องท่อๆกัน ขนาดนิ้วก้อย ยาว ๔ ปล้อง หรือตั้งแต่ ๙ กำมือขึ้นไป
2. มีดตอกสำหรับปาด เหลาเปี้นสะนู และคันสะนู 3. เหล็กซี (เหล็กหมาด) หรือเข็ม ขนาดประมาณซี่ก้านร่ม ตีปลายฝนให้แหลม สำหรับเจาะรูหัวสะนู 4. ด้ายสำหรับทำสายต่องหรือสายยน (ห่วงหัวสะนูเพื่อร้อยเคา)
วิธีทำ
นำไม้ไผ่ที่ผ่าแล้วมาวัดแบ่งครึ่งหรือระหว่างกึ่งกลางโดยใช้สายวัด สมัยก่อนไม่มีสายวัด ผู้ประดิษฐ์จะใช้นิ้วเป็นจุดคาดคะเนระดับกึ่งกลางจากการถ่วงน้ำหนัก เหลาไม้ไผ่ให้ได้ขนาดและรูปทรง การจัดรูปทรงไม้ไผ่ช่างจะใช้วิธีลนไฟแล้วดัดไม้ไผ่ให้ได้รูปทรง
หลังจากเหลาไม้ไผ่ได้ตามขนาดแล้วจะใช้กระดาษทรายขัดผิวให้เรียบ ลบรอยเสี้ยน นำไม้ไผ่ไปผึ่งแดดประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไม้ไผ่ดัดทรงง่ายและไม่คืนตัว จากนั้นนำไม้ไผ่ที่ผึ่งแดดมาถักลวดลายสะนูด้วยเส้นหวายเพื่อความสวยงาม เช่น ลายจูงนาง ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ให้ได้เห็น
ต่อจากนั้นเหลาใบสะนู ซึ่งทำมาจากหวาย มีความยาวใกล้เคียงกับไม้ไผ่ที่เตรียมสำหรับทำสะนู เทคนิคการเหลาใบสะนูจะให้เหลือปมที่ปลายหวายทั้งสองข้างเพื่อเป็นหัวของใบสะนูมีลักษณะกลม ใบสะนูมีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร และกว้าง 1 เซนติเมตร เจาะใบสะนูทั้งสองข้างด้วยสว่านให้เป็นรูสำหรับผูกเส้นไหมหรือเอ็น
นำสายไหมหรือด้ายมาผูกใบสะนูทั้งสองข้างและติดชันโรงที่บริเวณปลายสุดของใบสะนู แล้วนำใบสะนูมาผูกติดกับไม้ไผ่ที่เหลาไว้โดยดึงให้ตึงพอสมควร เริ่มทดสอบเสียงของสะนูให้ไพเราะโดยการนำชันโรงมาติดกับใบสะนูเป็นจุดๆ เพื่อปรับแต่งเสียงให้ไพเราะ เมื่อได้เสียงที่ต้องการแล้วจึงนำมาผูกติดกับว่าว ซึ่งสะนูอาจจะมีการตกแต่งให้สวยงามด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ใช้เส้นไหมผูกหรือทาน้ำมันเคลือบเงาให้สวยงามเป็นอันเสร็จสมบูรณ์
การทำแอกหรือสะนูจึงนับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นที่หาดูได้ยาก จึงควรที่จะมีการเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสืบทอดก่อนที่จะสูญหายไปกับสายลมแห่งกาลเวลา.